Classic Of Red [Card]

ในเกมฟุตบอลที่ต้องมีการเข้าปะทะกันระหว่างผู้เล่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการถือกำเนิดขึ้นของใบเหลืองใบแดง ถือเป็นอาวุธสำคัญของผู้ตัดสินในการควบคุมความดุเดือดของเกมการแข่งขัน ทั้งยังช่วยกระตุ้นจิตสำนึกของเหล่าบรรดานักเตะทั้งหลายด้วยว่า หากพวกเขาทำซ่า เล่นผิดกติกาในสนาม พวกเขามีสิทธิถูกเตือนหรือถูกไล่ออกได้ทุกเมื่อ นั่นยังไม่รวมถึงจำนวนโทษแบน และค่าปรับที่อาจตามมาภายหลัง
แต่ถ้าหากมองในแง่ของความคลาสสิค หรือความเป็นอมตะของเหตุการณ์อันเป็นที่น่าจดจำเกี่ยวกับการคาดโทษนั้น โอเคมันฟังดูแปลกอยู่ไม่น้อยที่การทำฟาล์วอันรุนแรงจะถูกมองว่าเป็นเรื่องของความคลาสสิค โดยเฉพาะใบแดงด้วยแล้ว มันอาจดูเหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่ผู้เขียนมองว่าผลกระทบ คุณประโยชน์หรือที่มาของใบแดงนั้นต่างหากล่ะคือความอมตะที่ควรค่าแก่การจดจำอย่างแท้จริง
ผู้เขียนติดตามดูผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มานานพอที่จะเห็นใบแดงของผู้เล่นเลือดผีหลายครั้งในรอบหลายปีมานี้ หากเรามองถึงเหตุผล ที่มาของเรื่อง เราจะพบว่าเจ้าใบแดงที่ให้โทษแก่นักฟุตบอลขวัญใจของเราเนี่ย ในบางเคสมันแฝงไปด้วยความ “คลาสสิค” อย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงขอคัดเลือก 5 เหตุการณ์เกี่ยวกับใบแดงของผู้เล่นหรืออดีตผู้เล่นของแมนฯ ยูไนเต็ด มานำเสนอเพื่อร่วมรำลึกความหลังด้วยกันครับ
1. เดวิด เบ๊คแฮม : ฝันร้ายที่ลืมไม่ลงใน ฟร๊องค์ 98
หนุ่มเบ๊คส์ ซึ่งตอนนั้นมีอายุเพียง 23 ขวบปี ถูกดิเอโก้ ซิโมเน่ กระทุ้งอย่างแรงจากด้านหลังโดยการปะทะอันหนักหน่วง ในเกมฟุตบอลโลกรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่อังกฤษพบกับอาเจนติน่าบนแผ่นดินฝรั่งเศสในปี 1998 โดยหลังจากจังหวะดังกล่าว เบ๊คแฮมเกิดโทสะดีดขาเอาคืนดาวเตะชาวอาเจนไตน์ ซึ่ง คิม มิลตัน นีลเซ่น ชูใบแดงไล่เขาออกจากสนามในทันที และหลังจากอังกฤษตกรอบในเกมดังกล่าวจากการพ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ เบ๊คแฮมเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของแฟนบอลชาวอังกฤษ ซึ่งบางรายรุนแรงถึงขนาดขู่ฆ่ากันเลยทีเดียว
เบ๊คแฮมตอบโต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเขายิงฟรีคิกช่วยให้ปิศาจแดงตีเสมอเลสเตอร์ ซิตี้ ได้ในเกมลีกนัดเปิดฤดูกาล 1998-1999 และแม้เขาจะลงเล่นท่ามกลางเสียงโห่มาตลอดซีซั่น แต่ท้ายที่สุดเขาก็สร้างผลงานจนเป็นหนึ่งในคีย์แมนชุดประวัติศาสตร์คว้าเทรบเบิ้ลแชมป์ได้ในท้ายที่สุด ซึ่งผู้เขียนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ความกดดันไม่เคยมีผลกระทบใดๆ กับมิดฟิลด์เท้าชั่งทองรายนี้เลย นั่นเพราะเขาเคยก้าวผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดมาได้ตั้งแต่อายุยังน้อยนั่นเอง
2. รอย คีน : “ผมถือคติ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
รอย คีน เคยมีอาการเจ็บหนักในปี 1997 เมื่อเขาวิ่งควบไปเอาบอลหน้ากรอบเขตโทษกับ อัลฟ์ อิงเก้ ฮาแลนด์ ของลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนที่เขาจะล้มลง และได้รับความเสียหายที่เอ็นหัวเข่าแต่กระนั้นก็ดี ฮาแลนด์ ได้เดินเข้ามาตะคอกใส่รอยว่าเป็นพวกสำออยแกล้งเจ็บ ทั้งที่หลังจากนั้นคีน ต้องพักรักษาตัวไปจนจบฤดูกาล
เมื่อเข้าสู่ปี 2001 คีนประจันหน้ากับ ฮาแลนด์อีกครั้ง ในแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ก่อนที่คีนจะเอาคืนด้วยการยกเท้าย่ำไปที่ขาของดาวเตะนอเวย์เต็มๆ จนหมุนเคว้ง และหลังจากที่กัปตันพันธ์ดุผู้นี้ได้รับใบแดง เขาก็เดินเข้าไปตะคอกกับฮาแลนด์ที่นอนเจ็บอยู่ ซึ่งต่อมาข้อความในอัตชีวประวัติของคีน ก็ช่วยย้ำให้ทุกคนที่พอจะเดาเรื่องราวออกได้ว่า มันเป็นการเอาคืนที่เขารอคอยมานาน และเป็นการเข้าสกัด(คน)อย่างจงใจ และไม่ว่าจะสมใจอยากของมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนผู้นี้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ฮาแลนด์ต้องแขวนสตั๊คไปก่อนเวลาอันควรเพราะการปะทะครั้งนี้
3. รูน & โด้ : เพื่อนร่วม(ทีม)ชาติ
เวิร์ลคัพ 2006 ที่เยอรมันรอบ 8 ทีมสุดท้าย อังกฤษพบกับโปรตุเกสอีกครั้ง หลังจากที่พบกันถี่เหลือเกินในยูโร 2000,2004 แม้โปรตุเกสจะย้ำแค้นอังกฤษได้อีกครั้ง แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของเกมนัดนี้คือใบแดงของเวย์น รูนีย์ โดยที่ทีมเมทในสโมสรอย่างโรนัลโด้ เข้ามามีส่วนพัวพันด้วย
หากใครยังจำกันได้ รูนีย์แย่งการครอบครองบอลกับคาวัญโย่ที่กลางสนาม ก่อนที่เขาจะจัดการทำหมันแห้งกองหลังโปรตุกีสผู้นี้จนเกิดเหตุชุลมุนประท้วงกันขึ้น และโรนัลโด้ที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่มากนัก เป็นคนแรกๆ ที่เข้ามาขอให้ผู้ตัดสินพิจารณาความเสียหายของคาวัญโย่ว่านี่เป็นการทำฟาล์วที่รุนแรง ก่อนที่รูนีย์จะผลักเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของเขาออกไปด้วยความไม่พอใจ
รูนีย์ถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม และอังกฤษยื้อได้จนถึงช่วงดวลจุดโทษอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายแพ้ตกรอบไป ซึ่งจุดสนใจของแฟนบอลทั่วโลกต่างมองในประเด็นเดียวกันว่า มิตรภาพของรูนีย์ และโรนัลโด้จะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งพวกเขาไม่ต้องรอนาน เพราะหลังจากนั้น รูนีย์ และโรนัลโด้ ก็ผนึกกำลังพาทีมคว้าแชมป์ลีก ได้ในซีซั่น 2006-2007 โดยไม่เคยมีข่าวระหองระแหงจากทั้งสองฝ่ายเลย
4. โซลชา : “ผมจำเป็นต้องทำมัน”
ย้อนกลับไปในช่วงท้ายฤดูกาล 1997-1998 แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังขับเคี่ยวลุ้นแชมป์พรีเมียร์ชิพกับอาเซน่อลอย่างเข้มข้น ในเกมลีกนัดที่ 35 พวกเขาต้องรับมือกับนิวคาสเซิ่ล ในบ้านของตัวเอง ขณะที่สกอร์กำลังเสมอกันอยู่ที่ 1-1 เฟอร์กี้ ตัดสินใจส่งโซลชา ลงสนามในช่วงท้ายเกม แต่เมื่อถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นิวคาสเซิ่ลได้จังหวะโต้กลับโดยโรเบิร์ต ลี ซึ่งดาวยิงนอวีเจี้ยนผู้นี้ก็วิ่งห้อไล่กวดจนทัน และเข้าสกัดจนได้รับใบแดงไปตามระเบียบ แต่ทุกคนทราบดีว่าถ้าหากโซลชาไม่ทำแบบนั้น โอกาสโดนเจาะประตูมีสูงแน่ เพราะจะเหลือเพียง ฟานเดอร์ กาว ซึ่งเป็นผู้รักษาประตูในเกมนั้นเพียงคนเดียว ที่ต้องดวลเดี่ยวกับลี และขณะที่โซลชากำลังเดินออกจากสนาม เสียงปรบมือของแฟนผีก็ดังกึกก้องไปทั่วโรงละครแห่งความฝัน
แม้ปีนั้นอาเซน่อลจะคว้าแชมป์ลีกไปครอง แต่เชื่อว่าแฟนผีคงไม่มีวันลืมโอเล่ กุนนาร์ โซลชา กับเหตุการณ์ที่เขาเสียสละตัวเองเพื่อทีมในวันนั้นอย่างแน่นอน
5. เอริค เดอะ คิง : กังฟู คิก
มาถึงเคสศาสดาของชาวปิศาจผู้นี้ เอริค คันโตน่า ซึ่งวีรกรรมของเขาอาจจะแหวกแนวเสียหน่อย เพราะคุณอาจจะไม่ได้เห็นการกระโดดถีบแฟนบอลได้อีกแล้วในชั่วชีวิตนี้เลยก็ว่าได้แต่เอริค เดอะ คิง ทำได้ และเขาทำมันได้ดีเสียด้วย

ในเกมที่พบกับคริสตัล พาเลซ ที่เซลเฮิร์สปาร์ค ในปี 1995 คันโตน่าไปเตะใส่ ริชาร์ด ชอร์ จนโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับการวิ่งเข้าไปกังฟูคิกใส่ แมทธิว ซิมม่อนส์แฟนบอลปากเสียของเจ้าถิ่น อันเป็นที่ช็อคแฟนบอลไปทั่วโลก

แต่ความคลาสสิคของเขายังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ คันโตน่ายังเอ่ยประโยค “เมื่อนกนางนวลบินตามเรือประมง ก็เพราะพวกมันคิดว่าปลาซาร์ดีนจะถูกโยนลงมาในทะเล” ในวันแถลงข่าวหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว อันสร้างความงุนงงแก่สื่อมวลชนที่ไปทำข่าวเป็นอย่างมาก

และไม่ว่าคนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์ก็องโตต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้สักเพียงใด แต่สำหรับสาวกปิศาจแดงนั้น เอริค คันโตน่ายังคงเป็นราชาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปตลอดกาล
Putt_Hub^^

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC

Related Posts